ads

Slider[Style1]

Style3[OneLeft]

Style3[OneRight]

Style2

Style4

Style5[ImagesOnly]

Style6




หน้าร้อนกับอากาศร้อนเป็นของคู่กัน ว่าแต่ทำไมแดดบ้านเรามันถึงได้ร้อนแรงขึ้นทุกปีอย่างนี้นะ รู้สึกว่าอยู่ยากขึ้นทุกวันๆ ความร้อนที่เกิดขึ้นไม่ได้ทำให้เรารู้สึกเบื่อหน่ายเท่านั้น แต่มันยังนำพาอาการบางอย่างมาอีกด้วย อาการที่ว่าก็คืออาการแพ้เหงื่อ เชื่อว่ามีหลายคนกำลังเป็นอยู่ บางคนอาจรู้ตัว บางคนอาจไม่รู้ แต่ที่แย่กว่านั้นอาการแพ้เหงื่อที่ว่านี้อาจไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ มาทำความรู้จักกับอาการที่ว่านี้กันก่อนที่จะไปดูวิธีแก้ปัญหา มาดูไปพร้อมๆกันครับ

อาการแพ้เหงื่อ คือ อะไร?
อาการแพ้เหงื่อ เป็นอาการที่จะแสดงออกเวลาที่เราโดนความร้อนจากแสงแดดแล้วเกิดเหงื่อขึ้นมาเยอะๆ ซึ่งผิวหนังของเราจะแสดงการต่อต้านเหงื่อนั้นออกมาเป็น ผดผื่นแดงคัน ลามไปตาส่วนต่างๆของร่างกาย ตั้งแต่ใบหน้า แขน ขา ลำตัว โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นข้อพับจะลุกลามมากเป็นพิเศษ ส่วนใหญ่อาการแพ้เหงื่อนี้จะเกิดกับคนที่เป็นโรคภูมิแพ้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว บางคนฤดูอื่นไม่เป็นมาเป็นตอนหน้าร้อน แต่บางคนก็เป็นตลอด เป็นเหมือนโรคประจำตัว เหงื่อออกเป็นไม่ได้แสบคันไปทั้งตัวอันนี้ก็แย่หน่อย

อาการแพ้เหงื่อไม่ใช่สิว
ตุ่มคันแดงที่เกิดขึ้นเวลาแพ้เหงื่อนั้นจริงๆแล้วไม่ใช่สิว เพียงแต่เป็นอาการแพ้ที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันเท่านั้น ดังนั้นการรักษาหรือบรรเทาอาการไม่สามารถใช้ยาทาสิวมาทาได้ มันไม่ช่วยให้หายนะ แล้วถ้าเป็นอาการนี้เราควรทำอย่างไรดี มาดูทางเลือกในการบรรเทาอาการเบื้องต้นกันครับ

วิธีการป้องกันอาการแพ้เหงื่อ
สำหรับวิธีการป้องกันอาการแพ้เหงื่อนั้น เราสามารถทำได้โดยการหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมหนัก ๆ จนเป็นสาเหตุที่ทำให้เหงื่อออก หรือถ้าหากรู้สึกตัวว่าเหงื่อออกเป็นจำนวนมาก ก็ควรรีบทำความสะอาดร่างกายทันที และถ้าหากคุณรู้ตัวว่าคุณมีอาการแพ้ที่มากยิ่งขึ้น คุณควรปกป้องตัวเองด้วยการสวมเสื้อผ้าให้มิดชิด เวลาที่ต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีฝุ่นละอองเยอะ ๆ พร้อมทั้งสวมใส่หน้ากากปิดจมูก เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดอาการแพ้ที่อาจจะเกิดขึ้นได้

ถึงแม้ว่าอาการแพ้เหงื่อ จะนับได้ว่าไม่ใช่โรคร้ายแรงแต่อย่างใด แต่ถ้าหากคุณตรวจพบว่าตนเองมีอาการผิดปกติ โดยเฉพาะเป็นอาการแพ้ที่เกิดขึ้นตามผิวหนังเวลาที่เหงื่อออก คุณควรรีบปรึกษาแพทย์ และทำการตรวจรักษาโรคให้ละเอียด เพื่อที่จะรักษาโรคได้อย่างเท่าทัน


ขอขอบคุณข้อมูลที่มาจาก: http://www.thailovehealth.com/disease/health-15233.html

«
Next
บทความใหม่กว่า
»
Previous
บทความที่เก่ากว่า

ไม่มีความคิดเห็น: